Thepsirin Temple was built by the command of King Rama V

วัดเทพศิรินทร์ หรือ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร มีอะไรมากกว่าให้ไปชมความงามและกราบพระ ถึงแม้ทุกคนจะรู้จักวัดแห่งนี้ดีในฐานะวัดสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนี ในปี พ.ศ. 2419 แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ วัดแห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนาซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่วัดด้วย โดยหรีด ณ วัด จะมาแนะนำประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และข้อมูลให้ได้อ่านกัน

Thepsirin Temple’s museum was built since 2008

ประวัติและที่มา

ก่อนหน้าที่จะมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้คนได้ศึกษาหาความรู้ ที่นี่เคยเป็นโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมในปีพ.ศ. 2433 โดยใช้ชื่อว่าโรงเรียนเจ้าพระยานรรัตนราชมานิต ตัวอาคารเป็นแบบตะวันตก มี 2 ชั้น หน้าบันมุขกลางประดับปูนปั้นเป็นรูปตราประจำแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 รวมถึงเป็นที่จำพรรษาของอดีตเจ้าอาวาส 2 รูป คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และสมเด็จพระวันรัต ก่อนจะถูกปล่อยทิ้งร้างจนกระทั่งได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จนกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนาแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2551 ตามเจตนารมณ์ของอดีตท่านเจ้าอาวาส ที่มีแนวคิดต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้ เพื่อสืบทอดและเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่พุทธศาสนิกชน และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระ 2,600 ปีแห่งพุทธศาสนา  

ห้องจัดแสดง

ภายในพิพิธภัณฑ์วัดเทพศิรินทร์แบ่งห้องจัดแสดงออกเป็น 7 ห้อง โดยใช้สื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการนำเสนอ ได้แก่ Computer graphic, Video Animation และ Presentation ทั้ง 3 ด้านมาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว จนเกิดเป็นมุมมองการเรียนรู้แบบใหม่ ดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชมได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งหากเราเข้าชม วิทยากรจะเป็นผู้พาชมโดยเริ่มจากชั้น 2 ของตัวอาคาร เพื่อนำเสนอพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า แบ่งออกเป็น 4 ห้องดังต่อไปนี้

• ห้องปฐมบท

ห้องแรกเป็นการนำเสนอตั้งแต่การกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก ไปจนถึงเหตุการณ์วันประสูติของพระพุทธเจ้า โดยเล่าว่าในวันนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พระพุทธเจ้าเป็นพระราชโอรสของใคร และทำไมพระองค์จึงตัดสินใจออกบวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตมนุษย์

• ห้องตรัสรู้

เมื่อเดินไปถึงห้องนี้ จะได้สัมผัสบรรยากาศเสมือนจริง เหมือนผู้ชมได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ โดยวิทยากรจะเล่ารายละเอียดช่วงที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรจนสามารถบรรลุธรรมและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นศรีมหาโพธิ์

• ห้องปฐมเทศนา

หลังผ่านห้องตรัสรู้ไปแล้ว ห้องไปต่อคือห้องปฐมเทศนาซึ่งนำเสนอเรื่องราวเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าแสดงธรรมปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ที่เมืองสารนาถ ตลอดจนเล่าเรื่องราวการเดินทางสั่งสอนพุทธศาสนิกชนเป็นเวลา 45 ปี เพื่อให้พุทธศาสนิกชนพบทางสายกลาง นำไปสู่ความสุขที่แท้จริง

• ห้องปรินิพพาน

ห้องสุดท้ายของชั้น 2 เป็นห้องปรินิพพาน ภายในมีการจำลองบรรยากาศใต้ต้นสาละคู่ ที่กรุงกุสินารา สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา

• ห้องพระราชประวัติ

เมื่อชมการจัดแสดงทั้ง 4 ห้องจบแล้ว วิทยากรจะเป็นคนพาเดินลงชั้นล่าง เพื่อเข้าสู่ห้องพระราชประวัติ ห้องจัดแสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี และพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

• ห้องพระอุโบสถ

ห้องนี้เป็นที่จัดแสดงประวัติการก่อสร้างพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ มีตั้งแต่การจำลองภาพภายในพระอุโบสถ ลวดลายจิตรกรรมฝาผนัง ซุ้มประตูหน้าต่าง พร้อมคำบรรยาย ตลอดจนมีการบรรยายประวัติของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ประดับไว้บนเพดานของพระอุโบสถด้วย

• ห้องกำแพงแก้ว

ห้องกำแพงแก้วเป็นห้องจัดแสดงสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยในห้องจะจัดแสดงและบรรยายประวัติการอัญเชิญพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกที่วัดเทพศิรินทร์ ซึ่งตามประวัติแล้ว ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้เป็นพันธุ์ที่นำมาจากเมืองพุทธคยา รัชกาลที่ 5 ทรงเพาะเมล็ดไว้ที่วัดนิเวศธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเมล็ดเติบโตเป็นต้นใหญ่ จึงได้ย้ายมาปลูกที่วัดแห่งนี้ หากใครสนใจอยากเดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนาที่วัดเทพศิรินทร์ แต่กลัวว่าจะเดินทางลำบากก็ไม่ต้องกังวล เพราะเดี๋ยวนี้สามารถเดินทางได้ทั้ง BTS, MRT, และรถประจำทางให้ได้เลือกตามความสะดวก หรือจะขับรถไปเองก็ได้เช่นกัน โดยพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้บริการวันจันทร์-เสาร์ เวลา 8.00 น.-17.00 น. และที่สำคัญคือไม่มีค่าบริการด้วย บอกได้เลยว่าถ้ามาที่วัดเทพศิรินทร์เมื่อไหร่ก็อย่าลืมแวะเข้าไปเรียนรู้พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าและชมความงามของพระอุโบสถนะคะ ที่มาของข้อมูลและรูปภาพ: คมชัดลึก, MGR Online

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *